หน้าเว็บ

Diary

เทคนิคดูเลือกซื้อรถBigbikeมือ2



เทศกาลท่องเที่ยวปีนี้วนมาอีกครั้ง เลยเอาบทความนี้มาฉายซ้ำ มาขึ้นหัวอีกรอบ เพราะช่วงนี้ของปีเป็นเทศกาลท่องเที่ยว Bigbike จะซื้อ จะขายกันมาก เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆหลายๆคนที่เพิ่งเข้ามาดูเว็ปนี้
วิธีการเลือกซื้อ big bike มือ2
บทแรกนี้มาว่ากันถึงจุดประสงค์การใช้งาน ของรถที่เราต้องการก่อน
1. ต้องถามตัวเองก่อนว่า ชอบรถแนวไหน?
- สปอร์ตไบค์ หรือที่เรียกกันว่า เรฟริก้า คือรถประเภท เลียนแบบรถในสนามแข่ง ท่วงท่าการนั้งจะเป็นแบบ ก้ม หมอบ ลักษณะรถ จะมีแฟริ่ง คลุมรถทั้งหมด แฮนด์แบบจับโช๊ค เบาะคนขี่และคนซ้อนจะแยกกันเป็น2ส่วน เช่น R1, SP1
- สปอร์ตทัวร์ริ่ง ลักษณะจะเหมือนประเภทแรกแต่ท่านั้งจะไม่ก้มมากนัก มีแฟริ่ง ชิวส์สูงสามารแหวกลมปะทะได้ดี เช่น Hayabusa , cbr1100xx
- คาสตอมไบค์ หรือ เน้กเก๊ตไบค์ คือรถประเภท ที่ไม่มีแฟริ่งมาก ไฟหน้ามักจะเป็นไฟกลม แฮนด์บาร์ ท่านั้งจะไม่ก้มมาก เช่น SF400 , XJR
- ช๊อปเปอร์ , ครุยเซอร์ คือรถประเภทที่ไม่เน้นความเร็วมากนัก แต่ไปในเน้นแรงบิดในรอบต่ำ รอบกลาง หน้าตาก็จะไปทางเรียบง่าย เช่น Harlay , Steed400-600
- วิบาก หรือ Off Road คือรถประเภทที่ไว้ขี่ในทางสมบุกสมบัน
2. งบประมาณ เท่าไหร่?
อันนี้ต้องแล้วแต่ทรัพย์ในกระเป๋า แต่ว่าหลังจากได้ประเภทรถที่ชอบแล้ว ก็ต้องหาข้อมูล ว่าราคาอยู่ในช่วงต่ำสุด- สูงสุดเท่าไหร่ จะได้เตรียมเงินให้พร้อม แต่คงต้องหมายความรวมถึง ค่าอุปกรณ์มรการขับขี่ด้วยส่วนนึง นอกเหนือจากราคารถ
การที่รถรุ่นเดียวกันราคาไม่เท่ากัน เพราะ สภาพรถ อุปกรณ์ตกแต่ง อุปกรณ์ควบ หรือช่วงภาวะการตลาด
3. สถานที่จะไปออกรถ?
- รถบ้าน ในที่นี้หมายถึงรถที่เจ้าของประกาศขายเอง ไม่ได้ผ่านนายหน้าหรือร้านค้า
- รถที่ร้าน ความหมายบอกในตัวแล้วว่า ต้องไปซื้อที่ร้าน ร้านค้าซื้อจากประเภทแรกหรือรถจากโกดัง แล้วเอามาปรับปรุงสภาพให้ดีขึ้น แล้วเอามาตั้งราคาใหม่
อธิบายเพิ่มจากข้อ3.
รถบ้าน
ข้อดี 1. ราคาโดยส่วนมากถูกกว่ารถหน้าร้าน
2. ต่อรองราคาได้มาก แล้วสามารถคุยกับเจ้าของได้โดยตรง ทราบประวัติรถ
3. สามารถเห็นสภาพเดิมได้
ข้อเสีย
1. ราคาถูกก็จริงอยู่แต่อาจต้องทำเพิ่มเติมเยอะมากกว่าที่คุยกันไว้ก็ได้ , ไม่มีรับประกัน
2. การต่อรองราคา ถ้าได้รับความจริงใจจากผู้ขายก็จะโชคดี แต่ถ้าผู้ขายไม่บอกความจริง แล้วเราซื้อมา หากต้องซ่อมแซมมากๆจะไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้เลย ( ในกรณีที่ซื้อมาโดยไม่ถี่ถ้วนพอ )

รถหน้าร้าน
ข้อดี 1. รถเก็บงานมาแล้ว ปรับปรุงสภาพเครื่องยนต์ อุปกรณ์ ทำสีใหม่แล้ว
2. รับประกัน ตามแต่จะตกลง
ข้อเสีย ..ไม่เห็นสภาพเดิมๆเพราะเก็บงานมาแล้ว ถ้าเป็นร้านที่รับผิดชอบก็โชคดีไป แต่ถ้าเป็นการย้อมแมว ผู้ซื้อจะสังเกตุได้ยาก ส่วนใหญ่จะไม่เห็นจุดบกพร่อง
4. เทคนิคและวิธีการเลือกซื้อ
ข้อสังเกตุเบื้องต้น....( รายละเอียดที่แจ้ง บางกรณีแม้ว่าจะเป็นจุดที่บกพร่องแต่สามารถซ่อมแซมแก้ไขได้ไม่ยาก เพียงแต่เป็นจุดสังเกตุ บ่งบอกถึงความสมบูรณ์ของรถ )
1.เล่มทะเบียน ตรงกันกับรถ ดูเลขเครื่อง - เลขคอที่ระบุในเล่มให้ตรงกับรถ ส่วนเลขเครื่องและเลขคอไม่จำเป็นต้องเหมือนกันก็ได้ครับ เพราะประกอบจากอะไหล่เก่า จึงอาจไม่เหมือนกันได้ ข้อปลีกย่อยอื่นในภาวะปัจจุบันคือ ทะเบียนสวม หรือ ทะเบียนแท้ อันนี้ต้องขอรายละเอียดจากเจ้าของเดิมด้วย
2.ชุดโอน ทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน ครบ หรือในกรณีที่เป็นอินวอย ก็ต้องมีใบเสร็จตัวจริง เครื่อง - เฟรม และเอกสารควบอื่นๆครบ
3.เขียนสัญญาซื้อ-ขายด้วย จะดีมาก
4. เดินดูรอบๆรถ โดยรวม...
- ชุดสี แฟริ่งด้านนอกอาจมองไม่เห็น แต่ด้านในอาจมีรอยเชื่อมพลาสติกบ้างเล็กน้อย ไม่เป็นปัญหา แต่ให้สังเกตุ ช่วงตัวยึดน๊อต ขายึดในจุดต่างๆ โดยเฉพาะด้านหน้า ว่ามีรอยเชื่อมมากรึเปล่าว หลายจุดมั๊ย อันนี้บอกได้ถึงการเกิดอุบัติเหตุ ว่าชนมาแล้วมากน้อยแค่ไหน , เหล็กยึดโครงหน้ากากด้านหน้าก็เช่นเดียวกัน
- เฟรม สีอลูมิเนียมเดิมๆ ไม่ทำสีจะดีที่สุด โดยมากถ้าไม่เคยเกิดอุบัติเหตุรุนแรง การทำสีเฟรมมักจะเป็นทางเลือกสุดท้ายในการปกปิดร่องรอย ส่วนใหญ่แม้ว่าจะเคยมีอุบัติเหตุมาบ้าง หากมีรองรอยที่เฟรมบ้างไม่เยอะนัก จะไม่ใคร่มีใครทำสีกัน
- เครื่องไม่มีคราบเยิ้มน้ำมันตามรอยปะเก็น
- สายไฟแม้ว่าจะเป็นส่วนที่มองเห็นไม่ได้ชัดเจนนัก แต่ในส่วนที่มองเห็น น่าจะอยุ่ในสภาพที่เก็บงานมาแล้ว จัดระเบียบมาได้เรียบร้อย
- ปลายท่อแห้ง เขม่าสีเทาๆ ถ้าสีออกดำก็แสดงว่ากรองอาจตันหรือหมดสภาพแล้ว ( อันนี้เล็กน้อย รับได้ )
- ลองสตาร์ท เปิดไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไปเบรค ไฟหน้าปัดเรือนไมล์ยังใช้งานได้ครบ อยู่รึเปล่าว
- ลองคร่อม โยกรถ(กำเบรคหน้า) ลองเด้งหลังโดยใช้น้ำหนักตัว ว่าโอเคมั๊ย โช๊คหน้า แกนต้องไม่เป็นรอยลึกๆ(รอยครูคยาวๆ) รอยหลุมตามดเล็กๆ ไม่มีคราบน้ำมัน- โช๊คหลังต้องไม่เด้งขึ้นแรงๆทันที ต้องมีความหนืดของโช๊คด้วย ทำนองว่ากดลงแล้ว ค่อยๆเด้งขึ้น
- ลองเดินเบาซักพัก แล้วเบิ้ลรอบเครื่องยนต์แรงขึ้นอีกนิด ดูความราบเรียบของรอบเครื่องยนต์
- เครื่องเดินเบาราบเรียบ ไม่กระตุก หรือไม่นิ่ง โดยปรกติถ้าสตาร์ทใหม่ๆรอบเครื่องอาจจะแกว่งๆ ไม่นิ่ง แต่ถ้าปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานต่อไปอีกซักพัก รอบเดินเบาจะคงที่ขึ้น,
- ต้องไม่มีเสียงประหลาดๆ ก๊อกๆ แก๊กๆ หรือเสียงวีดตามรอบเครื่องยนต์ ยกเว้นในกรณีรถSuzuki ที่เอกลักษณ์เสียงเครื่องยนต์อาจดังมากกว่ายี่ห้ออื่น หรือ คาร์บูร์แฟลตสไลด์
- ถ้าบังเอิญสตาร์ทแล้วมีควันขาว อย่าเพิ่งตกใจ อาจจะเพราะไม่ได้สตาร์ทมานานแล้ว ก็ให้เดินเบาซักแป็บนึง ลองเปิ้ลรอบดู ถ้าปรกติ เดี๋ยวมันจะค่อยๆจางไปหรือไม่มี แต่ถ้านานแล้ว เบิ้ลรอบยังมีควันออกมาตลอด ไม่น้อยลงก็อาจเป็นปัญหาที่เครื่องยนต์ แล้วในกรณีที่ไม่สามารถติดเครื่องได้ อันนี้ลำบากในการดูมาก อย่างน้อยควรได้ฟังเสียงการทำงานของเครื่องยนต์จะดีที่สุด
- ให้ลองขี่ดูเลย ถ้าไม่ให้ลองขี่อย่าซื้อนะครับ แล้วการลองอย่างน้อยคนซื้อต้องสามารถที่จะรับผิดชอบดดยการซื้อเลยถ้าเอารถไปล้ม ฉะนั้นก่อนลองรถต้องชั่งใจก่อน ว่าเรารับผิดชอบได้รึเปล่าว ควรลองรถแบบมีระยะทางมากหน่อย ลองใช้เกียร์หลายๆเกียร์ ทดลองงัดขึ้น-ลง ถ้าปรกติอาการเกียร์แข็งจะไม่มี ใช้ความเร็วมากขึ้นนิดหน่อย เครื่องถ้าร้อนแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้ใช้งานมานานแต่ถ้าปรกติควันจะน้อยลงมาก แล้วในกรณีที่สตาร์ทไปซักพักแล้ว เอามือไปอังที่ปลายท่อแล้วมีความชื้นหรือละอองน้ำกระเด็นออกมา แสดงว่าเครื่องมีความฟิตมาก จนควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำ (ดีมาก)
- ทดลองเบรคหน้า-หลัง ไม่ต้องแรงมาก็ได้เดี๋ยวรถล้ม ให้ทดลองลองขี่วนๆ กลับรถ เดินหน้า-ถอยหลัง จะให้เจ้าของซ้อนไปด้วยก็ได้ หรือถ้าอยากเทสคนเดียวเพื่อความสบายใจของเจ้าของรถ ผู้ซื้อจะให้กระเป๋าสตางค์ , บัตรประชาชน , เอกสารอื่นของเราไว้ เพื่อความสบายใจของทั้ง2ฝ่าย เพราะเคยเกิดเหตุกรณี ลองรถแล้ว ขโมยไปเลยก็มี
- โซ่ สเตอร์ ยาง อย่างน้อยควรจะยังอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ ถ้ายังดีอยู่ก็อาจไม่ต้องต่อรองมาก แต่ถ้าไม่อยุ่ในสภาพที่ดีแล้ว อาจจะขอต่อรองราคาลงหน่อย แล้วเราค่อยไปเปลี่ยนเอาเองก็ได้ แต่ต้องคำนวนราคาไว้แล้วจะได้รู้ยอดรวมคร่าวๆโดยประมาณ เรื่องสีสรรค์ภายนอกขอให้มองเป็นประเด็นรองครับ ให้ดูเครื่อง เฟรม ไว้เป็นหลักนะครับ
5. การตัดสินใจ?
แนะว่า อย่าเพิ่งใจร้อน ให้ดูละเอียดๆ ดูหลายๆคัน หลายๆที่ เว้นแต่ว่า คันที่กำลังดูอยู่สภาพดีมาก พอใจแล้ว ก็ต่อรองราคาได้เลย เพราะถ้ายังไม่ตัดสินใจ หลังวันนี้อาจหลุดลอยไปก็ได้ เป็นไปได้ให้พาเพื่อนไปดูด้วยกัน จะได้ไม่ถูกชักจูงได้ง่ายๆ
ควรจะศึกษาหาข้อมูลรถที่สนใจไว้ก่อน เช่นเลขเครื่อง เลขเฟรม อุปกรณ์ต่างๆในรถ ปั้มเบรค ที่บอกอย่างนี้ ยกตัวอย่างHonda SF400 ผลิตออกมาหลายรุ่นมาก เครื่องมีแบบครีบเต็ม ครีบไม่เต็ม ปั้มNissin Brembo สารพัด ต้องรู้มากๆไว้ก่อน โอกาศที่จะถูกหลอกจะได้น้อยลง
รถบ้าน...ในบางกรณี แม้ว่าจะซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่าหน้าร้านมาก หลายบาท อาจเป็นหลักพัน หรือหลักหมื่น แต่ต้องคำนึงด้วยว่า สภาพที่เราต่อรองราคาได้ (ตามสภาพ ) หากเราตกลงซื้อมาแล้วเราต้อง เอามาปรับปรุงอะไรบ้าง ราคาอะไหล่แต่ละรายการราคาเท่าไหร่ ทดลองจดรายการดูว่าราคารวมๆแล้วเท่าไหร่ เพราะบางที เพลอๆราคารถ+ค่าบำรุงรักษาอาจจะแพงกว่ารถหน้าร้านก็ได้
6. การต่อรองราคา?
แม้ว่าในกรณีซื้อ-ขายจะเป็นการตกลงราคาระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย แต่ราคาควรจะพอเหมาะพอสม อันนี้อธิบายเป็นกลาง ผู้ขายก็อยากขายได้ราคาตามอย่างที่ตั้งใจไว้ อาจจะเท่าทุนหรือกำไรบ้างมาก-น้อย ส่วนผู้ซื้อก็อยากซื้อได้ราคาถูกตามงบประมาณ ถูกได้เท่าไหร่ ยิ่งมากยิ่งดี แต่ทั้งนี้ แนะว่าผู้ซื้อถ้าเห็นรถ สภาพ พอเหมาะสมกับงบประมาณแล้ว หากรับได้ก็ไม่น่าที่จะต่อรองกันจนมากเกินไป บางครั้งจนเหมือนกับการกดราคา ในวงการรถใหญ่นั้น แคบมาก ใครซื้อ ใครขายอะไร ไม่นานก็มีคนทราบหมด การซื้อขายบางครั้งก็ทำให้ได้เพื่อนใหม่ ไม่ใช่ซื้อกันแล้วไม่คบกันอีกเลย ฉะนั้น ควรที่จะมีคุณธรรมกันทั้งคนซื้อและขาย ให้เหมาะสมพอดี คนขายก็ไม่ควรจะ ย้อมแมว หรือขายเอากำไรมากๆเกินควร อย่างนี้วงการของเราๆจะได้เจริญขึ้น

บทความนี้ เขียนโดยใช้ประสพการณ์ของตัวเอง หากมีบกพร่องอะไรบ้าง ก็ขออภัย หากมีข้อเสนอแนะอื่นเพิ่มเติม เมล์มาได้ที่หน้ากระดานถามตอบ
ขอบคุณเป็นอย่างสูง


+++++++++++++++++

วิธีการดูแลรักษา ยางรถจักรยานยนต์ 
                                                                                                          
     ยาง   เป็นอุปกรณ์ส่วนควบที่มาพร้อมกับรถจักรยานยนต์ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ ซึ่ง ยาง มีความสำคัญด้านความปลอดภัยไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า ระบบเบรก ที่ว่า ยาง มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เนื่องจากยางรถจักรยานยนต์ทุกเส้น ต้องทำหน้าที่อันหนักอึ้ง เพราะยาง เป็นส่วนที่ต้องแบกรับน้ำหนักของรถจักรยานยนต์ และผู้ขับขี่

ยาง ต้องสัมผัสพื้นผิวถนนในสภาพต่างๆ ตลอดเวลา ดังนั้นจึงน่าจะกล่าวได้ว่า หากผู้ใช้รถจักรวานยนต์ปราศจากการดูแล หรือสร้างความเข้าใจเรื่องของ ยาง โอกาสการเกิดอุบัติเหตุย่อมมีสูงตามไปด้วย ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ทุกคนจึงควรใส่ใจ และให้ความสำคัญกับยางที่อยู่คู่กับรถจักรยานยนต์ เพื่อความปลอดภัยขึ้นพื้นฐานที่ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ทุกคนควรพึงได้รับ

เห็นยางผิดปกติ รีบซ่อมด่วน

หาก ยางรถจักรยานยนต์ เกิดแฟบแบนลง สังเกตได้จากการมอง ซึ่งจะมาจากสาเหตุใด ควรรีบตรวจสอบและทำการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน หรือหารอยรั่วเพื่อทำการปะปิดรอยรั่วนั้นๆ หรือในบางกรณีต้องเปลี่ยนยางเส้นใหม่ หากมองว่ายาง ไม่อาจสร้างให้เกิดความปลอดภัยระหว่างการใช้งานได้ โดยเฉพาะยางที่มีอายุเกินกว่า 2 ปีขึ้นไปหรือยางที่ได้ได้ใช้งานนานๆ หรือรถที่จอดแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน

ดูลมยาง หลีกหนีความเสี่ยง

ลม ยาง เป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ยางเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการยึดเกาะถนน และการเติมลมยางให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรปล่อยให้ยางเกิดความอ่อน หรือ แข็งมากเกินไปจากการคาดเดาด้วยความรู้สึกส่วนตัว ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ทุกคนสามารถตรวจสอบ ลมยาง ควรเติมในอัตราส่วนเท่าไหร่ จากคู่มือประจำรถจักรยานยนต์ที่ใช้อยู่ เพราะรถทุกรุ่น ทุกยี่ห้อนั้นจะมีอัตราการเติมลมยางระดับมาตรฐานจากโรงงานผู้ผลิตรถ จักรยานยนต์

กรณีเป็นรถจักรยานยนต์เก่า ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลการเติมลมยางได้ผู้ใช้สามารถยึดหลักมาตรฐานเดิมคือ ยางหน้า ต้องแรงดันลมอยู่ที่ 29 ปอนด์ / ตารางนิ้ว และยางหลัง 33 ปอนด์ / ตารางนิ้ว การเติมลมยางอ่อน มีโอกาสยางจะระเบิดได้ระหว่างการขับขี่ เนื่องจากเกิดการเสียดทานอย่างรุนแรงของยางในกับยางนอก และขอบกระทะล้อ ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายต่อผู้ใช้รถจักรยานยนต์อย่างมาก

เพิ่มลมยางอีกนิด หากคิดเดินทางไกล

เมื่อ ต้องขับรถทางไกลเป็นเวลานาน หรือใช้ความเร็วสูง ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ควรเพิ่มแรงดันลมของยาง จากมาตรฐานขึ้นอีกราว 3-4 ปอนด์ ซึ่งจะทำให้ความร้อนภายในลมยางลดลง ทำให้การขับขี่เกิดปลอดภัยมากขึ้น กรณียางใหม่ควรตรวจเช็คลมยางบ่อย ยางใหม่ช่วงแรกๆ จะมีการขยายตัวของโครงสร้างยาง ทำให้ความดันลมอาจลดต่ำกว่าปกติจึงควรตรวจเช็คลมยางให้บ่อยครั้งกว่าเดิม เล็กน้อย

หมั่นเช็คลมยาง

การตรวจเช็คและปรับแต่งลมยางให้อยู่ใน ระดับมาตรฐานมีความสำคัญ การตรวจเช็คลมยางไม่ควรทำขณะที่ยางมีอุณหภูมิสูง หรือควรจอดรถทิ้งไว้สักระยะก่อนที่จะทำการตรวจเช็คลมยาง กรณีเดียวกับเติมลมยางต้องรอให้ยางเกิดความเย็นลงก่อนและต้องเติมลมยางให้ อยู่ในระดับมาตรฐานจากคู่มือรถเสมอ

อย่าตกใจเมื่อแรงดันลมยางสูง

รถ จักรยานยนต์ที่วิ่งติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ ยางจะเกิดความร้อนและลมยางจะมีแรงดันลมเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ห้อมปล่อยลมยางอย่างเด็ดขาด เพราะเมื่อยางปรับอุณหภูมิปกติแรงดันภายในยางจะกลับอยู่ในสภาพปกติ ซึ่งหากผู้ใช้รถจักรยานยนต์ทำการปล่อยลมยางระหว่างยางเกิดความร้อนเมื่อยาง เย็นลง แรงดันลมจะลดตามจนอาจสร้างปัญหาให้กับผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในระหว่างการขับ ขี่ในช่วงต่อไป 
++++++++++++
การล้างรถที่ถูกวิธี
1. ฉีดน้ำให้แรงที่สุด เพื่อให้คราบฝุ่น ขี้ดิน หลุดออกจากตัวรถให้มากที่สุด
2. ควรล้างด้วยน้ำสะอาดหรือล้างด้วยแชมพู
3. ควรล้างรถจากส่วนบน ลงล่าง โดยการใช้ผ้านุ่ม เช่นผ้าสำลี ซึ่งควรคะนำมาแช่น้ำไว้สัก 3 คืน และถ้าใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มได้ยิ่งดีครับ และการล้างรถนั้น ขอแนะนำให้แบ่งผ้าออกเป็น 2 ผืน (อย่าใช้ฟองน้ำล้างรถ เพราะอาจจะมีเม็ดกรวด ทรายติดอยู่) ผืนแรกใช้สำหรับล้างส่วนบน หลังคา ฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงหลัง กระจกรถทั้งหมด
ผืนที่สอง ใช้สำหรับล้างส่วนด้านล่างของตัวรถ ตั้งแต่ขอบกระจกด้านล่างลงมา ทั้งหมด
เหตุผลที่ต้องแยกเนื่องจาก โดยทั่วไปส่วนบนของรถจะมีฝุ่นน้อย ในขณะที่ด้านส่วนล่างของรถมีฝุ่นมาก
4. ฉีดน้ำไล่แชมพูออกให้หมด
5. อย่าล้างรถกลางแดด เพราะแดด จะทำให้น้ำบนรถแห้งเร็ว และเกิดคราบน้ำขึ้น
การล้างรถโดยใช้ถังใส่น้ำล้าง
1. การล้างรถแบบนี้ ควรจะเปลี่ยนน้ำบ่อย ๆ มิฉะนั้น สิ่งสกปรกที่ผสมอยู่ในน้ำ อาจทำให้เกิดริ้วรอยขีดข่วยบนรถได้ (วิธีการนี้ ไม่แนะนำให้ทำ …. แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องหมั่นซักผ้าและเปลี่ยนน้ำ)
ข้อควรระวังในการล้างรถ
1. ไม่ควรล้างรถตอนเย็น ด้วยตนเอง เพราะหากล้างแล้วจอดทิ้งไว้อาจทำให้เกิดสนิม ในบางจุดที่เราเช็ดไม่แห้ง หรือไม่สามารถเช็ดแห้งได้ ยกเว้นแต่จะมีเครื่องเป่าน้ำให้แห้งหรือจะขับรถต่อไปเป็นระยะทางไกล ลมจะช่วยให้ทุกซอยทุกมุม แห้งสนิท
2. ไม่ควรล้างรถกลางแดด เนื่องจากแสงแดด จะทำให้น้ำแห้งเร็ว และทำให้เกิดคราบน้ำบนสีรถขึ้น
การเช็ดรถที่ถูกวิธี
1. ควรใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือผ้าชามัวร์ ในการเช็ดรถ เนื่องจากผ้าเหล่านี้ จะไม่ทำให้รถเป็นรอย แต่ถ้าผ้าชามัวร์แท้ ควรจะระวัง เวลาที่ผ้าชามัวร์แห้งสนิท จะแข็งตัว และเมื่อจะทำมาเช็ดรถ ก็ควรจะนำผ้าชามัวร์นั้น จุ่มน้ำให้เปียกจริง ๆ ทั้งผืน ก่อนเช็ดรถ เพราะถ้าไม่เปียกทั้งผืน แสดงว่ายังมีส่วนที่ยังไม่โดนน้ำที่ยังแข็งอยุ่ ซึ่งอาจทำให้สีรถเป็นรอยได้ง่าย
2. การเช็ดรถนั้น ควรเช็ดตั้งแต่แผงบนก่อน เพื่อให้น้ำหยดลงด้านล่างให้หมดก่อน ไล่ลงมาด้านล่างของรถ จะได้ไม่ต้องทำงานสองต่อไงครับ
3. ส่วนของรถดังต่อไปนี้ไม่ควรหลีกเลี่ยง ควรเช็ดให้แห้งที่สุด
   3.1 ด้านในขอบประตูทั้งหมด
   3.2 ด้านในกระโปรงหลัง
   3.3 ด้านในฝาถังน้ำมัน
   3.4 กระจกหน้ารถ เพื่อให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ ชัดเจน ไม่มีอะไรมาบดบัง หรือระคายเคืองสายตา
   3.5 ล้อแม็กซ์ ควรจะเช็ด ด้วย เพราะถ้าไม่เช็ดจะเป็นคราบน้ำน่าเกลียด และถ้าปล่อยไว้นาน ๆ คราบน้ำเหล่านั้น จะเช็ดออกยาก จนถึงเช็ดไม่ออก
การดูแลรักษาสีรถยนต์ โดยวิธีการเคลือบสีรถด้วยตนเอง
1. ล้างรถให้สะอาด ตามวิธีการข้างต้น
2. เช็ดรถให้น้ำหมาด ๆ
3. เทน้ำยาเคลือบสี ลงบนผ้านุ่ม ขอเน้นว่าผ้านุ่มนะครับ ที่มีน้ำหมาด ๆ
4. เช็ดบนตัวรถ โดยวนเป็นก้นหอย ให้ทั่วบริเวณตัวรถ
5. ทิ้งน้ำยาไว้ตามระยะเวลาที่รถบุไว้ข้างกระป๋อง (ถ้าเป็นของคาร์แลค 68 จะทิ้งน้ำยาไว้ประมาณ 30 นาที)
6. ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือผ้านุ่ม เช็ดน้ำยาออกให้หมดทั่วตัวรถ
+++++++++++